วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

url blogของเพื่อนๆค่ะ

ดา4/3เลขที่33
ไนล์4/3เลขที่34
ปู4/3เลขที่35
แนน4/3เลขที่36
นา4/3เลขที่37
แจ๊ส4/3เลขที่38
เซฟ4/3เลขที่39
ไหม4/3เลขที่40
เปิ้ล4/3เลขที่41
อุ้ง4/3เลขที่42
ออม4/2เลขที่32

พริกจิ๋วแต่แจ๋ว

พริกรักษาโรค
สรรพคุณ
• ช่วยขับเสมหะ ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง เพราะในพริกจะมีสาร Capsacinซึ่งจะสังเกตได้ว่าคนที่ทานพริกเข้าไป จะมีอาการน้ำตา น้ำมูกไหล
• ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดอาการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุขอโรคหัวใจตีบได้
• ช่วยกระตุ้นสมองส่วนกลางให้หลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารสร้างความสุขทำให้เกิดการผ่อนคลาย ช่วยให้ความดันโลหิตลดลง
• ช่วยกระตุ้นให้อยากอาหารเนื่องจากพริกจะไปทำให้ต่อมน้ำลายทำงานมากขึ้นกระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้การอยากอาหาร
แต่ถ้ารับทานมากเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้

ผิวสวยด้วยคอลลาเจน

ผิวสวยด้วยคอลลาเจน
คอลลาเจน คือ โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังของร่างกายซึ่งสานกันเป็นเครือข่ายชั้นผิวหนัง และเป็นโปรตีนสำคัญต่อความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด และช่วยสร้างความตึงกระชับให้ผิว โดยจะทำงานร่วมกับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อีลาสติน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสลายตัวของคอลลาเจน คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากมลพิษต่างๆเช่น บุหรี่ แสงแดด สารปนเปื้อนในอาหาร และจากการเผาผลาญอาหารในร่างกายไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไปการผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อขาดคอลลาเจนผิวพรรณที่เคยเต่งตึงจะเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวลดลง
การเติมคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อหวังผลในการชะลอริ้วรอย ในวงการแพทย์สามารถทำได้โดยการฉีดคอลลาเจนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนในเครื่องสำอางก็มีการนำคอลลาเจนไปผสม สังเกตได้จากฉลากที่ระบุส่วนผสมของ ไฮโดรไลซ์คอลลาเจนไฮโดรไลซ์ อีลาสติน โปรคอลลาเจน เอเอชเอ
นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งจะช่วยชะลอการสลายตัวของคอลลาเจนและช่วยลดการเกิดมะเร็งในร่างกายอีกด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็ได้แก่ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน

เกร็ดความรู้

ชาร้อนยับยั้งอัลไซเมอร์
ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้วเพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียวหรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมองอันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผลได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า
ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่องการดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูกผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ" ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 11

ความสวยความงาม

มะเขือเทศกับนมสดสูตรสวยจากธรรมชาติ



ไม่เพียงแต่อร่อยและเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินเอ และบี รวมทั้งแร่ธาตุสำคัญต่อร่างกาย อย่างแมกนีเซียม และโพแทสเซียม
กรดผลไม้ในมะเขือเทศ สามารถทำโลชั่นทำความสะอาดผิวได้ เพราะมีฤทธิ์ช่วยในการขัดลอกเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน โดยเฉพาะเมื่อนำมาผสมกับนมจะมีกรดแล็กติกช่วยในการขัดลอกเซลล์ผิว
วิธีทำ บดมะเขือเทศสุกให้ละเอียด เทลงในผ้าขาวบาง และบีบน้ำออกนำน้ำมะเขือเทศผสมกับนมเท่าๆกัน แล้วใช้เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าวันละ 1หรือ 2 ครั้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำแร่ หรือน้ำสะอาด เหมาะสำหรับผิวมัน หรือผิวผสม

ลักษณะของเบญจกัลยาณี

ลักษณะของเบญจกัลยาณี
ลักษณะของเบญจกัลยาณีอธิบายตามความคิดเห็นของท่านผู้รู้แต่โบราณว่าผมงาม หมายถึง เรือนผมเป็นเงางามดุจกับหางนกยูงทรงผมสตรีแต่ก่อนคงจะนิยมดัดปลายงอน ท่านจึงพรรณาว่า เมื่อปล่อยย้อยยาวถึงชายผ้านุ่ง แล้วกลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่ สมัยนี้เห็ยจะกำหนดตามนี้ไม่สำเร็จ จะให้ดำเป็นเงางามหรืองอนขึ้นหรุบลงทำไม่ยาก ถึงไม่มีผมจะงามเลย ก็หาผมปลอมใส่ได้งามทันใจในพริบตา เนื้องาม หมายถึง ริมฝีปากงาม เช่นกับผลตำลึงคงหมายความว่ามีสีแดงดุจผลตำลึงสุก สาวยุคนี้อย่าว่าแต่สีผลตำลึงสุกเลย จะให้เป็นสีผลอะไรก็ได้ สีทาปากทำไว้พร้อมเสร็จ สีมะละกอ สีลิ้นจี่ หรือสีทับทิมออกคล้ำ ออกม่วง ออกเหลือง มีให้เลือกตามใจชอบ กระดูกงามหมายถึง มีฟันขาวเรียบดุจสังข์ที่ขัดดีแล้วฝรั่งไม่เคยเห็นสังข์และไม่รู้ค่า จึงเปลี่ยนให้เป็นไข่มุกแทนฟันเป็นอย่างเดียวที่ขัดสีปานใด ก็ไม่อาจขาวเงางามเรียบได้ถ้าสุขภาพฟันไม่มีเป็นปฐม ยาเคลือบฟันให้ขาวพอใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว ผิวงาม คือละเอียดอ่อนสีผิวไม่สำคัญ ผิวดำก็สวยได้ ถ้าเกลี้ยงเกลามีเลือดฝาดสมบูรณ์ วัยงาม หมายถึง เนื้อหนังเต่งตึงอยู่จนแก่ตำนานเรื่องนางวิสาขา ผู้สร้างปุพพรามปราสาทถวายเป็นวัดครั้งพุทธกาลชมนางวิสาขาว่าวัยงามนักหนา นางมีบุตรชาย 10 บุตรหญิง 10 บุตรชายหญิงมีบุตรชายหญิงอีกคนละ 10 ตลอดชีวิตของนางมีบุตรหลายถึง 8,420 คน นางวิสาขาไปที่ใด บุตรหลานห้อมล้อมไปเป็นหมู่ ผู้คนดูไม่ออกว่าคนไหนคือนางวิสาขา เพราะเห็นเป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอเหมือนกันหมด นางวิสาขามีอายุยืนถึง 120 ปี และเป็นลูกสาวเศรษฐี ได้กินอิ่ม นอนหลับเต็มที่ ประกอบกับใจบุญด้วย จึงงามทั้งกายใจ
ความงาม 5 ประการนั้น ต้องการรากฐานจากธรรมชาติ งาม 4 ประการแรก ทำให้เกิดความงามประการสุดท้าย จะให้งามนอกต้องทำให้งามในได้ก่อน ^^ เครื่องสำอางโปะปะไว้เสริมสวยได้ชั่วครู่ชั่วยาม สู้กินให้สวยไม่ได้ ประจวบกับอาหารหลักของคนไทย ก็มี 5 หมู่ ตรงตัวเลขกันเลยจำได้ง่ายว่า กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อความเป็นเบญจกัลยาณี
ที่มา: หนังสือ คิดอย่างผู้หญิง โดย สมศรี สุกุมลนันทน์

อาหารบำรุงสมอง

อาหารบำรุงสมอง
อาหารมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง ไม่แพ้การพัฒนาทางร่างกายเป็นความจริง ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย จึงปรนเปรออาหารการกินให้กับลูกๆ ด้วยหวังว่าอาหารเหล่านี้ จะทำให้ความคิดแล่นความจำดีสมองโปร่งใสทำให้ลูกเฉลียวฉลาด ได้
อาหารที่เชื่อกันว่าช่วยบำรุงสมองมีอยู่หลายอย่าง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ น้ำซุปไก่เป็นต้น แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นจะเป็นปลา ผู้ใหญ่มักให้เด็กกินปลา โดยอ้างว่าปลาบำรุงสมอง กินปลาแล้วจะฉลาดขึ้น และถ้ากินหัวปลาได้ จะยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่
หากอาหารสามารถบำรุงสมองได้จริงเช่นนั้น เชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่ในประเทศไทยคงไม่สอบตก ฉะนั้นจะหวังให้อาหารช่วยให้ฉลาดขึ้นคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะอาหารช่วยบำรุงสมองได้ ในระยะที่สมองเติบโต หรือในระยะเริ่มแรกของชีวิตเท่านั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนสมองเติบโต เต็มที่เสียแล้ว ไม่ว่าจะทำนุบำรุงเรื่องอาหารเพียงใดก็ย่อมไม่ทำให้เฉลียวฉลาดขึ้น
ความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ ถึงกรรมพันธุ์จะเป็นตัวกำหนด ขีดขั้นตอนสติปัญญา แต่เด็กมักจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขั้นตามกรรมพันธุ์ กำหนด หรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณแม่รับประทานในช่วงตั้งครรภ์และอาหารที่ลูกกิน ในช่วงแรกของชีวิต
ถ้าหากในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่รับประทานอาหารครบห้าหมู่และมีปริมาณเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย เซลล์สมองของลูกจะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ เป็นรากฐานที่มั่นคง เมื่อได้รับการศึกษาได้เล่าเรียนฝึกฝนก็ย่อมมีโอกาสที่จะมีสติปัญญา เฉลียวฉลาดได้เต็มขั้นตามที่กรรมพันธุ์กำหนด
ตรงกันข้าม เมื่อขาดแคลนอาหารทั้งในปริมาณ และคุณภาพเซลล์สมองไม่อาจเจริญเติบโต อย่างเต็มที่ เมื่อสมองหยุดเจริญเติบโตแล้วจำนวนเซลล์สมองของเด็กเหล่านี้ อาจน้อยกว่าเด็กที่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอถึงร้อยละ 15 ถึง 20 อาการซึมเศร้า และเชื่องช้าที่ปรากฏภายนอกเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นผล ของจำนวนเซลล์ที่น้อยกว่าปกติ แม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้รับการฝึกฝน เท่าเทียมกับเด็กคนอื่น ก็ไม่อาจมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขีดขั้นที่กรรมพันธุ์ กำหนดได้ หรืออีกนัยหนึ่งถึงพ่อแม่จะฉลาดหลักแหลมเพียงใดลูกก็ไม่มีโอกาส ฉลาดเท่าเทียมพ่อแม่ได้
ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า อาหารมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของสมองตั้งแต่ก่อนเด็กเกิด นับตั้งแต่ปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของแม่เลยทีเดียว อาหารบำรุงสมองของเด็ก จึงเป็นอาหารในระยะตั้งครรภ์ของแม่ และอาหารของเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 1-2 ปี
ในขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงควรเอาใจใส่อาหารการกิน อย่างน้อยที่สุดต้องกินให้ครบห้าหมู่ เพิ่มอาหารที่ให้โปรตีนสูง ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ และนม ถ้าหากมีรายได้น้อยอาจพึ่งโปรตีน จากถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าคุณแม่บางรายกินนมวัวไม่ได้ ก็ควรเลี่ยงไปกินนมถั่วเหลืองแทน
อาหารบำรุงสมองที่ดีที่สุดของทารกแรกเกิด คือนมแม่
เมื่อเด็กอายุครบ 4 เดือนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ ควรให้อาหารอื่นเพิ่มเติม ไม่ใช่เฉพาะข้าวกับกล้วยเท่านั้น ควรหัดให้เด็กกินไข่ เนื้อปลา ผัก และผลไม้ต่าง ๆ และถือโอกาสปลูกฝังนิสัยการกินอาหารที่ดีเสียแต่เนิ่น ๆ

สุขภาพ

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ทำให้หลายคนที่ไม่ค่อยได้ดูแลสุขภาพเป็นพิเศษมักเป็นหวัดได้ง่าย "โรคหวัด" เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้จะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายเนื้อสบายตัว ทำให้มีอาการปวดศรีษะ ตัวร้อน น้ำมูกไหล ไอ จาม มีเสมหะ ถ้าไม่ดูแลรักษาตัวให้ดีอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ เมื่อเป็นหวัดแนะนำว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตรเพราะน้ำสามารถช่วยเยียวยาร่างกายให้หายจากหวัดได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุที่ว่า.. 1. น้ำช่วยละลายเสมหะไม่ให้เหนียว โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่น 2. ช่วยลดไข้หากไข้ขึ้นสูง น้ำนี่แหล่ะที่จะช่วยทำให้ร่างกายเย็นลงได้ 3. ช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี 4. ช่วยให้เยื้อบุจมูกที่บุช่องทางเดินหายใจส่วนบนทำหน้าที่ได้ดีขึ้น จึงช่วยลด อาการคัดจมูก 5. ช่วยป้องกันการติดเชื้อ และอักเสบ 6. ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายฟื้นจากอาการไข้ได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น หากอยากดื่มเครื่องดื่มที่มีรสชาติมากขึ้น แนะนำให้ลองดื่มน้ำผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำกีวี น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ เพราะวิตามินซีช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น ส่วนคนที่มีอาการเจ็บคอสามารถบรรเทาอาการโดยใช้เกลือละลายน้ำอุ่นกลั้วคอ 2-3 วันติดต่อกันอาการจะทุเลาลงโดยไม่ต้องใช้ยาค่ะ ที่มา : บริการชีวจิตโฟน นิตยสาร ชีวจิต ฉบับที่ 191 ปีที่ 8 กันยายน 2549

ความรักเหมือนส้มตำ

ความรักเหมือน…ส้มตำ : ของบ้าน ๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันและคิดว่ามันไม่น่ากิน แต่พอเอามารวมกันดันโดนซะได้…ก็เหมือนคนบางคนที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่ผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีก็ยังรักกันดีอยู่เลย ต่างกับบางคู่ที่ใคร ๆ คิดว่าก็น่าจะไปกันได้สวย แต่ไม่กี่เดือนก็ดันเตียงหักซะแล้ว
ความรักเหมือน…ปลาย่าง : มีโอเมก้า 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ถ้ากินแบบไม่ระวังเราอาจถูกก้างปลาตำคอเอาได้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เวลามีความรักต้องใส่ใจทุกรายละเอียด ศึกษานิสัยใจคอของคนรักให้ดีเสียก่อน อย่าดูกันแต่ภายนอก เพราะก้างของปลานั้นซ่อนอยู่ภายใน เหมือนกับนิสัยห่วย ๆ ของคนรัก นั่นหล่ะที่มองแค่ภายนอกจะไม่มีทางรู้เลย
ความรักเหมือน…วาซาบิ : เวลาพิษรักวิ่งขึ้นจมูก เรานึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว แต่ถ้าทนซักพักความทรมานก็จะหายไปเอง สาว ๆ รักร้าวทั้งหลายจำไว้นะจ๊ะ
ความรักเหมือน…ต้มยำกุ้ง : ต่อ ให้อร่อยแค่ไหน แต่ถ้าทิ้งไว้จนจืดชืดก็ไม่มีใครอยากกิน ก็เหมือนคู่ที่รักกันนานจัด แต่ไม่ยอมแต่งงานเสียที รักมาราธอนแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะไปไม่รอด เพราะอะ ๆ ที่เคยซี๊ดซ๊าดแซบอีหลี มันกร่อยไปหมดแล้ว
ความรักเหมือน…ข้าวหลาม : ถ้าไม่ผ่ากระบอกออกก็จะไม่มีทางรู้ว่าข้างในเป็นอะไร เปรียบได้กับเจ้าสาวที่กลัวฝนทั้งหลายที่กลัวความรัก กลัวการแต่งงานจนปิดโอกาสตัวเอง ไม่ยอมทดลองดูว่ารสชาติของการมีคนรักมันหวานมันขนาดไหน
ความรักเหมือน…ไอศกรีม : ทั้งสวยทั้งหอมดูไม่มีพิษภัย แต่ถ้ากินมากเกินไปความสวีตเกินพิกัดอาจพาไปจบที่โรคเบาหวาน… เป็นการเตือนนักรักทั้งหลายให้เสพรักอย่างพอเพียง รู้จักทิ้งระยะมีช่องว่างให้กันบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเบื่อกันเร็วเกินไป
ความรักเหมือน…ทุเรียน : ถ้าอยากชิมเนื้อในที่หอมหวานก็ต้องยอมถูกหนามตำ อุปสรรคของความรักก็เหมือนหนามทุเรียน ถ้าเราอดทนและฝ่าฟันไปได้ เราก็จะได้ลิ้มรสหวานหอมอร่อยเริดเป็นรางวัล
ความรักเหมือน…โอเลี้ยง : ถึงจะดำดีสีไม่ตกแต่ก็หวานอร่อยถูกปาก เป็นข้อพิสูจน์ว่าคนที่ไม่สวยหล่อก็อาจเป็นแฟนที่ดีได้ ถ้าคุณให้โอกาสเขาพิสูจน์ตัวเอง
ความรักเหมือน…คากิ : หน้าตายั่วยวนแต่ไม่ควรกิน มิฉะนั้นอาจทำให้เส้นเลือดอุดตัน มีผลถึงสิ้นใจก่อนวัยอันควร …เปรียบได้กับกิ๊ก ถึงแม้รูปร่างหน้าตาของเธอจะชวนน้ำลายไหล แต่ถ้าเผลอกินเข้าไปเราอาจอายุไม่ยืน เพราะถ้าแฟนจับได้เราคงได้ชิมลีลาแม่ไม้มวยไทย ก่อนจะถูกหามไปสิ้นใจที่โรงพยาบาล (ใครเห็นด้วยกับข้อนี้ขอเสียงหน่อย…ฮิ้ว)
ความรักเหมือน…น้ำเปล่า : เปรียบเหมือนความรักของเพื่อนที่สะอาดบริสุทธิ์ เพราะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่ต้องมีรูปร่างหน้าตายั่วยวน แต่ดีต่อสุขภาพและควรจะดื่มเป็นประจำ เพราะถ้าขาดการติดต่อนานเกินเดี๋ยวจะต่อกันไม่ติด
ความรักเหมือน…มะม่วงน้ำปลาหวาน : ต้องอยู่คู่กันถึงจะอร่อย …คนบางคนเกิดมาเพื่อจะอยู่ด้วยกัน และต้องจับคู่กันถึงจะลงตัวที่สุด ของแบบนี้เขาเรียกพรหมลิขิตค่ะพี่น้อง
ความรักเหมือน…น้ำพริกปลาทู : เป็นสมบัติประจำชาติและจะไม่มีวันหายไปจากโลกตลอดกาล
เหมือนหลายอย่าง ทำไงดี :)

ความรัก

เมื่อเรารักกัน… ไม่ต้องคิดว่าจะโง่หรือจะฉลาดไม่ต้องคิดว่า… ถ้าเชื่อเค้าแล้วเราจะโง่ในสายตาใคร ๆไม่ต้องคิดว่า… ถ้าเปิดหูตารับฟังปากชาวบ้านเป็นการฉลาดไม่ต้องคิดว่า… ถ้าเชื่อว่าเค้ารักเราคนเดียวเป็นเรื่องโง่ไม่ต้องคิดว่า… ถ้ารู้ว่าเค้าทำอะไรเพื่ออะไรเป็นเรื่องฉลาดไม่ต้องคิดว่า… ถ้าให้โอกาสเค้าเรื่อย ๆ เป็นเรื่องโง่ไม่ต้องคิดว่า… ถ้าตั้งกฎเกณฑ์แล้วจะฉลาด
ความรัก เป็นสิ่งที่สวยงาม ถ้าเรารักเป็น และเลือกที่จะรัก

วิธีลดความดันโลหิตสูง

ปริมาณเกลือที่รับประทาน มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ที่รับประทานเกลือมาก จะพบว่ามีความดันสูงมากกว่าผู้ที่รับประทานเกลือน้อยกว่า ดังนั้น วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดจะต้องลดเกลือ เพิ่มผักผลไม้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตรวจเช็คความดันโลหิตทุก 6 เดือน และหากพบความดันโลหิตสูงผิดปกติควรรีบดูแลรักษาปละปรับพฤติกรรมตามหลักปัญจกิจ หรือร่วมกับ 5 แนวทางการรักษาทางเลือกที่เรานำมาฝากกันค่ะ 1. คันธบำบัด มีคำแนะนำมากมายจากอโรมาเทอราปิสต์ ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยบางชนิดช่วยบำบัดอาการ และทำให้ผ่อนคลาย เช่น น้ำมันหอมระเหย กลิ่นคาโมไมล์ลาเวนเดอร์ 2. การบำบัดด้วยอาหาร ด้วยการลดปริมาณเกลือโซเดียม และหันมาเพิ่มอาหารที่มีธาตุโพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งมีมากในผักและผลไม้สด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้วย มันฝรั่ง และผักใบเขียวต่างๆ เช่น เซเลอรี่(ขึ้นฉ่ายฝรั่ง) ซึ่งถือเป็นผักที่ดีในการลดความดันโลหิต 3. การบำบัดด้วยสมุนไพร การดื่มน้ำสมุนไพรจากขึ้นฉ่าย กระเจี๊ยบแดงและบัวบก เป็นต้น 4. การผ่อนคลายและทำสมาธิ เทคนิคการทำสมาธินั้นมีประโยชน์ช่วยรักษาระดับความดันโลหิต จากการศึกษามีคำแนะนำว่า การทำสมาธิ 20 นาที วันละ 2 ครั้งจะช่วยลดความดันโลหิตได้ 5. โสตบำบัด คำแนะนำจากนักวิจัยเพื่อช่วยลดความดันโลหิต คือให้ฟังเพลงที่ช่วยผ่อนคลาย แล้วหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วปล่อยให้ตัวเองซึมซับเอาพลังงานเสียงเข้าไว้ ความดันโลหิตสูงนั้นป้องกันได้ถ้าเริ่มต้นปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวคุณสู่วิถีชีวิตที่มีความสุขทั้งกายและใจตั้งแต่วันนี้ ที่มา : เกร็ดสุขภาพ(วัยสูงอายุ) นิตยสาร ชีวจิตฉบับที่ 191 ปีที่ 8 กันยายน 2549

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

กีฬาสีปี2551

ว้า กีฬาสีหมดแล้วเซ็งจังเลยไม่อยากให้หมดเลย
มันเป็นเวลาช่วงสั้นๆที่จะได้มีความสุข เฮ้อ!!

อิเหนา

ตั้งแต่วิหยาสะกำได้ชมรูปภาพของนางบุษบาก็หลงรักนาง และอยากได้นางมาเป็นมเหสี ท้าวกะหมังกุหนิงก็ตามใจลูกส่งทูตไปขอนางบุษบากับท้างดาหา และเตรียมกองทัพไว้ถ้าท้าวดาหาปฏิเสธก็จะยกทัพไปตีเมืองดาหา ท้าวกะหมังกุหนิงได้เล่าเรื่องราวและขอความช่วยเหลือจากน้องชาย คือ ระตูปาหยัง และท้าวประหมัน ซึ่งระตูทั้งสองก็ทูลทัดทาน ขอให้ตรึกตรองดูให้ดี เพราะท้าวดาหาเป็นวงศ์อสัญแดหวา ซึ่งมีกำลังทหารมากมาย ทั้งไพร่พลก็ชำนาญในการสงคราม ท้าวกะหมังกุหนิงก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงตอบว่าการทำสงครามครั้งนี้เป็นการช่วงชิงนางบุษบาจากจรกา แม้พระอนุชาจะอ้างเหตุผลอย่างไรก็ตาม ท้าวกะหมังกุหนิงก็ยืนยันความตั้งใจเดิม ไม่เปลี่ยนใจจะทำเพื่อลูก ฝ่ายท้าวดาหาเมื่อปฏิเสธไม่ยอมยกนางบุษบาให้แล้ว ก็มีหนังสือไปขอความช่วยเหลือไปหาท้าวกุเรปัน พระเชษฐา ท้าวกาหลังและท้าวสิงหัดส่าหรี พระอนุชาทั้งสอง ท้าวสิงหัดส่าหรีเมื่อทราบข่าวก็ส่งทหารไปบอกท้าวดาหาว่าไม่ต้องวิตก จะส่งสุหรานากงไปช่วย ฝ่ายเมืองกุเรปันท้าวกุเรปันได้มีหนังสือ 2 ฉบับ ให้ดะหมังนำไปให้อิเหนา 1ฉบับ และให้ระตูหมันหยา 1 ฉบับ แล้วให้กะหรัดตะปาตี ยกทัพไปสมทบกับอิเหนา ช่วยท้าวดาหาทำศึก กะหรัดตะปาตีก็ยกทัพไปคอยอิเหนาที่ชายเมืองหมันหยา ส่วนท้าวกาหลังก็ให้ตำมะหงงกับดะหมังคุมพลยกออกจากเมืองกาหลังมาพบสุหรานากงจากเมืองสิงหัดส่าหรี สองทัพก็สมทบกันยกไปเมืองดาหา เมื่อท้าวดาหาปฏิเสธไม่ยอมยกนางบุษบาให้ ท้ากะหมังกุหนิงก็เตรียมจัดทัพยกไปตีเมืองดาหา ให้วิหยาสะกำเป็นกองหน้า พระอนุชาทั้งสองเป็นกองหลัง ท้าวกะหมังกุหนิงเป็นจอมทัพ ท้าวกะหมังกุหนิงได้ให้โหรโหรตรวจดูดวงชะตาว่าร้ายดีประกาใด โหรทำนายว่าดวงชะตาของท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำนั้นถึงฆาต ถ้ายกทัพไปในวันพรุ่งนี้จะพ่ายแพ้แก่ศัตรูแน่นอน ให้เว้นไปซัก 7 วัน แล้วจึงจะพ้นเคราะห์ไปทำศึกได้ แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็มิได้เปลี่ยนความตั้งใจ ยกทัพไปตามกำหนดที่ตั้งใจไว้ เมื่อท้าวดาหาทราบข่าวศึกก็ให้ตั้งค่ายรอบกรุงดาหาไว้ ทัพเมืองกะหมังกุหนิงก็ได้ยกทัพมาประชิดเมืองดาหา ท้าวดาหาเมื่อเห็นศึกมาประชิดเช่นนั้นก็รู้สึกน้อยใจอิเหนาว่าศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอิเหนาเป็นต้นเหตุ สุหรานากงและเสนาเมืองกาหลังเมื่อมาถึงก็เข้าเฝ้าท้าวดาหา สุหรานากงแจ้งให้ท้าวดาหาทราบว่า ท้าวกุเรปันส่งกะหรัดตะปาตีให้สมทบกับทัพอิเหนามาช่วย ท้าวดาหาก็เชื่อว่ากะหรัดตะปาตีนั้นคงมา แต่ไม่เชื่อว่าอิเหนาจะจากหมันหยามาได้ ท้าวดาหาเสนอแนะการทำศึกแก่สุหรานากงว่าไม่ควรออกไปสู้รบนอกเมือง เพราะกองทัพศัตรูกล้ายกมาครั้งนี้ก็ย่อมมีความสามารถมีกำลัง ควรตั้งมั่นไว้ในเมืองก่อน ถ้าทัพต่างๆยกมาช่วยแล้วค่อยตีกระหนาบ ศึกก็จะล่าเลิกไป อิเหนาเมื่อได้รับหนังสือจากท้าวกุเรปันให้ยกทัพไปช่วยท้าวดาหา ถ้าไม่ยกไปช่วยก็ขาดจากความเป็นพ่อลูกกัน แม้ตายก็ไม่ต้องไปเผา อิเหนาอ่านจบแล้วก็นึกว่า นางบุษบาจะงามแค่ไหน ใครต่อใครจึงมาหลงรัก ถ้างามเหมือนจินตะหราก็สมควรที่จะหลงรัก อิเหนาคิดว่าอีก 7 วันจึงจะยกทัพไปแต่ดะหมังทูลเตือนว่าอาจไปช่วยไม่ทัน อิเหนาจึงจำใจยกทัพไปวันรุ่งขึ้น อิเหนาได้เข้าเฝ้าท้าวหมันหยาซึ่งก็ได้รับหนังสือจากท้าวกุเรปันมีใจความตำหนิพระธิดาและท้าวหมันหยา ถ้าท้าวหมันหยายังเห็นดีเห็นงามไม่ให้อิเหนายกทัพไปช่วยศึกดาหา ก็จะตัดญาติขาดมิตรกัน ท้าวหมันหยาจึงเร่งให้อิเหนายกทัพไปและให้ระเด่นดาหยนคุมทัพจากหมันหยาไปสมทบอิเหนาด้วย อิเหนาจึงมาลาจินตะหรา สการะวาตี และมาหยารัศมี ทั้งที่ใจไม่อยากจากไป อิเหนาสัญญากับจินตะหราว่าเสร็จศึกจะรีบกลีบมาทันที อิเหนายกทัพจากเมืองหมันหยาไปด้วยความโศกเศร้า และคิดถึงสามนางมาตามทางที่ผ่านไป อิเหนายกทัพสมทบกับกะหรัดตะปาตีที่คอยท่าอยู่แล้วพากันยกไปเมืองดาหา เมื่อถึงแดนดาหาอิเหนาก็หยุดตั้งค่าย ให้ตำมะหงงไปทูลท้าวดาหาว่าจะทำศึกให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงจะมาเข้าเฝ้า ท้าวดาหาก็ยินดีเมื่อรู้ว่าอิเหนายกทัพมาแล้ว เพราะรู้ว่าอิเหนาเก่งกล้าสามารถ ย่อมชนะศึกแน่นอน ส่วสุหรานากงก็ยกทัพออกไปสมทบกับอิเหนาแล้วเล่าเรื่องที่ท้าวดาหากล่าวถึงอิเหนาให้ฟัง ฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิงแม้รู้ข่าวว่ามีทัพยกมาช่วยท้าวดาหาแต่ก็ยังไม่เปลี่ยนใจได้เตรียมทำศึกเต็มที่ เมื่อทัพกะหมังกุหนิงประจันทัพกับทัพของอิเหนา ท้าวกะหมังกุหนิงไม่รู้ว่าเป็นทัพของอิเหนาจึงถามว่าผู้ใดคือจรกา อิเหนาจึงตอบว่าจรกามิได้มาด้วย เรายกมาแต่กุเรปันเพื่อมาช่วยน้อง ท้าวกะหมังกุหนิงเมื่อรู้ว่าเป็นอิเหนาก็รู้สึกหวาดหวั่นแต่ก็มีมานะเจรจาตอบ ในที่สุดสังคามาระตะก็ออกต่อสู้กับวิหยาสะกำ และได้ฆ่าวิหยาสะกำตาย ท้าวกะหมังกุหนิงจึงเข้าต่อสู้กับสังคามาระตะ อิเหนาเข้ารับไว้และฆ่าท้าวกะหมังกุหนิงสำเร็จ ระตูปาหยังและท้าวประหมันเห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้นจึงยอมแพ้แก่อิเหนา และจะยอมเป็นเมืองขึ้นจะส่วเครื่องบรรณาการมาถวายตามประเพณี อิเหนาก็ได้อณุญาตให้นำศพท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำกลับไปที่เมืองเพื่อจัดพิธีศพตามประเพณีต่อไป